โปรแกรมบัญชี ตามมาตรฐาน กรมสรรพากร
"โปรแกรมบัญชีสรรพากรรับรอง" คำนี้หลายคนคงเคยได้ยินและอาจเกิดความสงสัยว่ากรมสรรพากรมีการรับรองโปรแกรมบัญชีจริงหรือไม่ แล้วถ้าไม่มี โปรแกรมบัญชีแบบไหนถึงจะถูกต้องและช่วยให้ธุรกิจของเราสบายใจไร้กังวลเรื่องภาษี
P2P Accounting ยินดีพาคุณไปไขข้อข้องใจ และทำความเข้าใจเกี่ยวกับมาตรฐานโปรแกรมบัญชีที่กรมสรรพากรกำหนด พร้อมแนะนำวิธีเลือกโปรแกรมบัญชีที่เหมาะสม เพื่อให้การทำบัญชีและการยื่นภาษีเป็นเรื่องง่ายและถูกต้องตามกฎหมาย ติดตามได้เลย
ปรึกษาใช้โปรแกรมบัญชี
โทรศัพท์ : 097 236 2994
Add Line : p2pacc
โปรแกรมบัญชี
สรรพากรรับรองจริงหรือ
ต้องทำความเข้าใจก่อนว่า กรมสรรพากรไม่ได้มีการ "รับรอง" โปรแกรมบัญชีโดยตรงในลักษณะของการออกใบรับรองหรือเครื่องหมายรับรองให้กับโปรแกรมใดโปรแกรมหนึ่ง
แต่กรมสรรพากรมีข้อกำหนดและหลักเกณฑ์ที่โปรแกรมบัญชีที่ดีควรมี เพื่อให้มั่นใจว่าข้อมูลทางบัญชีที่บันทึกในโปรแกรมนั้นถูกต้อง ครบถ้วน และสามารถนำไปใช้ในการยื่นแบบ
แสดงรายการภาษีได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งข้อกำหนด และหลักเกณฑ์ที่สำคัญของกรมสรรพากรเกี่ยวกับโปรแกรมบัญชี จะมีอยู่ 3 ข้อกำหนดด้วยกัน ดังนี้
1. การจัดทำรายงานภาษี โปรแกรมบัญชีควรสามารถสร้างรายงานภาษีต่างๆ ที่จำเป็นสำหรับการยื่นแบบแสดงรายการภาษีได้ เช่น ภ.ง.ด. ภ.พ.30 เป็นต้น โดยรายงานเหล่านี้ต้องมีรูปแบบและโครงสร้างที่ถูกต้องตามที่กรมสรรพากรกำหนด
2. การเชื่อมโยงข้อมูลกับระบบ e-Filing โปรแกรมบัญชีควรสามารถเชื่อมโยงข้อมูลกับระบบ e-Filing ของกรมสรรพากรได้ เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถยื่นแบบแสดงรายการภาษีทางอิเล็กทรอนิกส์ได้สะดวกและรวดเร็ว
3. ความถูกต้องและครบถ้วนของข้อมูล โปรแกรมบัญชีต้องสามารถบันทึกข้อมูลทางบัญชีได้อย่างถูกต้อง ครบถ้วน และเป็นไปตามมาตรฐานการบัญชีที่รับรองทั่วไป (GAAP) เพื่อให้ข้อมูลทางบัญชีมีความน่าเชื่อถือและสามารถนำไปใช้ในการตัดสินใจทางธุรกิจได้
ฉะนั้นแล้ว การเลือกใช้โปรแกรมบัญชีที่ตรงตามข้อกำหนดและหลักเกณฑ์ของกรมสรรพากร จะช่วยให้ผู้ประกอบการมั่นใจได้ว่าข้อมูลทางบัญชีของธุรกิจถูกต้อง ครบถ้วน และสามารถนำไปใช้ในการยื่นแบบแสดงรายการภาษีได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงในการถูกตรวจสอบภาษีและปัญหาอื่น ๆ ที่อาจตามมาได้
ปรึกษาใช้โปรแกรมบัญชี
โทรศัพท์ : 097 236 2994
Add Line : p2pacc
ดูบริการรับทำบัญชี ราคาประหยัด
มาตรฐานโปรแกรมบัญชีที่กรมสรรพากรกำหนด
มาตรฐานโปรแกรมบัญชีที่กรมสรรพากรกำหนด มีรายละเอียดตามประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 89) ลงวันที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2542 ซึ่งกำหนดหลักเกณฑ์และคุณสมบัติของโปรแกรมบัญชีที่สามารถนำไปใช้ในการจัดทำรายงานภาษีและนำส่งข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ได้ โดยมีรายละเอียดสำคัญดังนี้
1. การจัดทำรายงานภาษี
ลำดับแรกคือ ‘รายงานภาษีซื้อ’ โปรแกรมต้องสามารถจัดทำรายงานภาษีซื้อ (ภ.พ. 30) ได้ โดยแสดงรายละเอียดของภาษีซื้อ เช่น เลขที่ใบกำกับภาษี, ชื่อผู้ขาย, จำนวนเงิน, ภาษีมูลค่าเพิ่ม และข้อมูลอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง
รวมไปถึง ‘รายงานภาษีขาย’ โปรแกรมต้องสามารถจัดทำรายงานภาษีขาย (ภ.พ. 30) ได้ โดยแสดงรายละเอียดของภาษีขาย เช่น เลขที่ใบกำกับภาษี, ชื่อผู้ซื้อ, จำนวนเงิน, ภาษีมูลค่าเพิ่ม และข้อมูลอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง และสุดท้ายคือ ‘รายงานภาษีอื่นๆ’ ตัวโปรแกรมต้องสามารถจัดทำรายงานภาษีอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องได้ เช่น ภ.ง.ด. 1, ภ.ง.ด. 3, ภ.ง.ด. 53 เป็นต้น
2. การเชื่อมโยงข้อมูลกับระบบ e-Filing
โปรแกรมต้องสามารถเชื่อมโยงข้อมูลกับระบบ e-Filing ของกรมสรรพากรได้ เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถยื่นแบบแสดงรายการภาษีและชำระภาษีทางอิเล็กทรอนิกส์ได้ และการเชื่อมโยงข้อมูลนั้นต้องเป็นไปตามรูปแบบและมาตรฐานที่กรมสรรพากรกำหนด
3. ความถูกต้องและครบถ้วนของข้อมูล
โปรแกรมต้องสามารถบันทึกข้อมูลทางบัญชีได้อย่างถูกต้อง ครบถ้วน และเป็นไปตามมาตรฐานการบัญชีที่รับรองทั่วไป (GAAP) ที่สำคัญข้อมูลที่บันทึกต้องไม่สามารถแก้ไขหรือลบได้โดยไม่มีร่องรอย และตัวโปรแกรมต้องมีระบบควบคุมภายในที่ดี เพื่อป้องกันการทุจริตและการสูญหายของข้อมูล
ทั้งนี้ขอเพิ่มเติมว่าโปรแกรมต้องมีระบบรักษาความปลอดภัยของข้อมูลที่ดี ใช้งานง่ายและมีคู่มือการใช้งานที่ชัดเจน และต้องได้รับการปรับปรุงและพัฒนาอย่างสม่ำเสมอ แต่มาตรฐานโปรแกรมบัญชีที่กรมสรรพากรกำหนด
อาจมีการเปลี่ยนแปลงหรือปรับปรุงได้ตามความเหมาะสม ผู้ประกอบการควรติดตามข้อมูลข่าวสารจากกรมสรรพากรอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้แน่ใจว่าโปรแกรมบัญชีที่ใช้งานอยู่เป็นไปตามมาตรฐานล่าสุด
ปรึกษาใช้โปรแกรมบัญชี
โทรศัพท์ : 097 236 2994
Add Line : p2pacc
รายละเอียด ราคา, ราคาUpgrade โปรแกรม Express
ประโยชน์ของการใช้โปรแกรมบัญชีมาตรฐานสรรพากร
1. ลดความเสี่ยงในการตรวจสอบภาษี
โปรแกรมบัญชีมาตรฐานสรรพากรช่วยให้มั่นใจได้ว่าข้อมูลทางบัญชีถูกต้อง ครบถ้วน และเป็นไปตามข้อกำหนดของกรมสรรพากร ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงในการถูกตรวจสอบภาษี และสามารถตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลและแจ้งเตือนข้อผิดพลาดได้ ทำให้สามารถแก้ไขได้ทันท่วงที
2. อำนวยความสะดวกในการยื่นภาษี
โปรแกรมสามารถสร้างรายงานภาษีต่างๆ ได้อัตโนมัติ ช่วยประหยัดเวลาและลดความยุ่งยากในการจัดทำเอกสาร รวมไปถึงสามารถเชื่อมโยงข้อมูลกับระบบ e-Filing ของกรมสรรพากรได้โดยตรง ทำให้ยื่นภาษีได้ง่ายและรวดเร็ว
3. เพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการบัญชี
โปรแกรมช่วยให้การบันทึกข้อมูลทางบัญชีเป็นไปอย่างเป็นระบบและมีประสิทธิภาพ สามารถจัดเก็บข้อมูลได้อย่างปลอดภัยและค้นหาข้อมูลได้ง่าย และสร้างรายงานต่างๆ เพื่อวิเคราะห์ผลประกอบการและวางแผนทางการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ
4. ลดต้นทุนและประหยัดเวลา
ลดค่าใช้จ่ายในการจ้างพนักงานบัญชีหรือผู้ทำบัญชีภายนอก และลดเวลาที่ใช้ในการจัดทำบัญชีและภาษี ทำให้มีเวลาไปโฟกัสกับการดำเนินธุรกิจมากขึ้น
5. เพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับธุรกิจ
การใช้โปรแกรมบัญชีมาตรฐานสรรพากรแสดงให้เห็นถึงความเป็นมืออาชีพและความรับผิดชอบต่อการปฏิบัติตามกฎหมายของธุรกิจ ช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับนักลงทุน เจ้าหนี้ และคู่ค้า
6. รองรับการเติบโตของธุรกิจ
โปรแกรมบัญชีมาตรฐานสรรพากรสามารถปรับขนาดได้ตามการเติบโตของธุรกิจ และมีฟังก์ชันและคุณสมบัติที่หลากหลาย รองรับความต้องการที่ซับซ้อนมากขึ้นของธุรกิจในอนาคต
ปรึกษาใช้โปรแกรมบัญชี
โทรศัพท์ : 097 236 2994
Add Line : p2pacc
วิธีการเลือกโปรแกรมบัญชีที่เหมาะสมกับธุรกิจ
การเลือกโปรแกรมบัญชีที่เหมาะสมกับธุรกิจเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้ธุรกิจดำเนินไปอย่างราบรื่น และมีข้อมูลทางการเงินที่ถูกต้อง ครบถ้วน เพื่อการตัดสินใจทางธุรกิจที่ดีขึ้น และการยื่นภาษีที่ถูกต้องตามกฎหมาย โดย P2P ขอนำเสนอมีวิธีการดังต่อไปนี้
1. ประเมินความต้องการของธุรกิจ
หากเป็นธุรกิจขนาดเล็กอาจต้องการโปรแกรมที่ใช้งานง่าย ไม่ซับซ้อน ในขณะที่ธุรกิจขนาดใหญ่อาจต้องการโปรแกรมที่มีฟังก์ชันหลากหลายและสามารถรองรับข้อมูลจำนวนมากได้ รวมไปถึงธุรกิจแต่ละประเภทมีความต้องการที่แตกต่างกัน
เช่น ธุรกิจค้าปลีกอาจต้องการโปรแกรมที่มีระบบจัดการสินค้าคงคลัง ในขณะที่ธุรกิจบริการอาจต้องการโปรแกรมที่เน้นการออกใบแจ้งหนี้และใบเสร็จรับเงิน และหากมีผู้ใช้งานหลายคน ควรเลือกโปรแกรมที่รองรับการทำงานร่วมกันได้ และมีระบบควบคุมสิทธิ์การเข้าถึงข้อมูลที่ชัดเจน
2. ตรวจสอบคุณสมบัติของโปรแกรมบัญชี
ตรวจสอบว่าโปรแกรมมีฟังก์ชันพื้นฐานที่จำเป็นครบถ้วน เช่น การบันทึกบัญชีรายวัน, การจัดทำงบการเงิน, การจัดการลูกหนี้และเจ้าหนี้, การคำนวณภาษี รวมไปถึงพิจารณาว่าธุรกิจของคุณต้องการฟังก์ชันเฉพาะทางเพิ่มเติมหรือไม่
เช่น ระบบบริหารงานบุคคล, ระบบจัดการสินทรัพย์, ระบบ e-Commerce ทั้งนี้โปรแกรมบางโปรแกรมสามารถปรับแต่งให้ตรงกับความต้องการเฉพาะของธุรกิจได้ ซึ่งอาจเป็นประโยชน์สำหรับธุรกิจที่มีความซับซ้อนและสุดท้ายเราแนะนำให้เลือกโปรแกรมที่มีอินเทอร์เฟซที่ใช้งานง่าย และมีคู่มือหรือการฝึกอบรมที่ชัดเจน
3. ทดลองใช้โปรแกรม
หลาย ๆ โปรแกรมมีให้ทดลองใช้ฟรี ลองใช้ดูก่อนตัดสินใจซื้อ เพื่อดูว่าโปรแกรมตรงกับความต้องการและใช้งานง่ายจริงหรือไม่
4. ตรวจสอบความน่าเชื่อถือของผู้ให้บริการ
เลือกโปรแกรมจากผู้ให้บริการที่มีชื่อเสียงและมีประสบการณ์ และอ่านรีวิวจากผู้ใช้งานจริง เพื่อดูความคิดเห็นและประสบการณ์ของผู้อื่น
5. พิจารณาบริการหลังการขาย
ตรวจสอบว่าผู้ให้บริการมีบริการหลังการขายที่ดี เช่น การสนับสนุนทางเทคนิค, การแก้ไขปัญหา, และการอัปเดตโปรแกรม
6. ตรวจสอบความปลอดภัยของข้อมูล
เลือกโปรแกรมที่มีระบบรักษาความปลอดภัยที่ดี เพื่อป้องกันข้อมูลทางการเงินของธุรกิจ
7. ตรวจสอบว่าโปรแกรมตรงตามมาตรฐานสรรพากร
ตรวจสอบว่าโปรแกรมสามารถจัดทำรายงานภาษีตามที่กรมสรรพากรกำหนด และสามารถเชื่อมโยงข้อมูลกับระบบ e-Filing ได้
ปรึกษาใช้โปรแกรมบัญชี
โทรศัพท์ : 097 236 2994
Add Line : p2pacc
อ่าน โปรแกรมบัญชี TRCLOUD
สรุปการเลือกโปรแกรมบัญชี
สุดท้ายแล้วการเลือกโปรแกรมบัญชีที่เหมาะสมต้องใช้เวลาในการพิจารณาและเปรียบเทียบ แต่การลงทุนในโปรแกรมที่ดีจะช่วยให้ธุรกิจของคุณมีประสิทธิภาพมากขึ้นในระยะยาว สรรพากรรับรอง ไม่ต้องรอ
เราพร้อมเจาะลึกมาตรฐานโปรแกรมบัญชีที่ "ใช่" ไขทุกข้อข้องใจเรื่องภาษี ป้องกันธุรกิจคุณจากความไม่รู้ P2P Accounting พร้อมเคียงข้าง ให้บริการบัญชีและภาษีครบวงจร วางระบบบัญชีเฉพาะรูปแบบธุรกิจ ยื่นภาษีสะดวกง่าย ไม่พลาด ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านบัญชีและภาษีวันนี้