views

ภาษีขายของออนไลน์ Shopee Lazada Tictok


ปัจจุบันการขายสินค้าผ่านระบบ E-marketplace หรือการขายของออนไลน์บน Shopping Platform ที่ได้รับความนิยม และรู้จักกันเป็นอย่างดี


อย่าง Shopee Lazada Tiktok Shop สิ่งสำคัญที่ผู้ค้าออนไลน์ต้องศึกษาให้เข้าใจคือเรื่องของภาษีขายของออนไลน์ Shopee Lazada Tictok


บทความนี้ได้รวบรวมสาระที่เกี่ยวกับเรื่องของภาษีขายของออนไลน์ รวมถึงสาระที่เกี่ยวข้องที่ผู้ค้าออนไลน์ควรรู้ เพื่อนำความรู้ดังกล่าวไปจัดการเรื่องภาษีของธุรกิจ


Shopee Lazada Tiktok คือ

shopee Lazada เป็น Shopping Platform เป็นการช้อปปิ้งออนไลน์ เป็นเครื่องมือทางการตลาดที่ให้บริการซื้อ ขายสินค้าออนไลน์ ระหว่างผู้ขายผู้ซื้อ


ส่วน TikTok เป็น Social Media ที่สามารถสร้างและแชร์วิดีโอสั้นๆ เพื่อทำ Challenge โฆษณาขายสินค้าบนโลกออนไลน์ โดยทั้ง 3 ตัว ต่างก็ช่วยกระตุ้นยอดขายให้กับผู้ค้าออนไลน์ เป็นสื่อกลางระหว่างผู้ซื้อและผู้ขายที่ช่วยเพิ่มจำนวนผู้เข้าชมสินค้าทางออนไลน์ เพื่อสร้างยอดขาย


ปรึกษางานบัญชีภาษี

โทรศัพท์ :  097 236 2994

Add Line :  p2pacc


บริการรับวางแผนภาษี


ข้อดีข้อเสีย ขายสินค้าออนไลน์ Shopping Platform ของ shopee Lazada Tiktok

ข้อดี

1. ไม่ต้องมีหน้าร้าน คุยกับลูกค้าได้ทุกที่ ช่วยลดต้นทุนการเดินทาง จึงมีต้นทุนการขายต่ำ


2. เข้าถึงลูกค้า และขายขิงได้ 24 ชม. มีเครื่องมือช่วยในการรายงานสถิติการขาย  เสนอขายได้ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายทุกกลุ่ม


3. ไม่ต้องใช้ ต้นทุนในการสต็อกสินค้า 


ข้อเสีย

1. มีผู้ขายสินค้าอย่างเดียวกันจำนวนมาก จึงมีการแข่งขันสูง  เจอได้ยาก และถูกตัดราคาได้ง่าย


2. ผู้ซื้อ/ผู้ขายต้องใช้อินเทอร์เน็ต และมีความรู้ในการใช้


3. มีค่าใช้จ่ายในการออกแบบ ดูแลหน้าเว็บให้สวยงามดึงดูดลูกค้า


4. ร้านอาจถูกปิดเพราะถูกแฮก สแปม


5. ลูกค้าเห็นแต่รูปจับต้องสินค้าไม่ได้


6. เสียเวลาในการรอจัดส่งสินค้า และลูกค้าอาจต้องเสียค่าจัดส่งเพิ่ม


ประเภทของสินค้าที่ขายในออนไลน์

- สินค้าที่จับต้องได้ อาทิ เสื้อผ้า  เครื่องสำอาง อาหารเสริม อุปกรณ์ไอที เครื่องดนตรี ของเล่นเด็ก


- สินค้าที่จับต้องไม่ได้ เช่น ซอฟต์แวร์  เกม แอพพลิเคชัน


- สินค้าขายบริการ เช่น บริการสปา เสริมสวย จองตั๋วเครื่องบิน โรงแรมที่พัก


ขั้นตอนในการเตรียมตัวเป็น “ผู้ค้าออนไลน์” มืออาชีพ

1. ตั้งและเตรียมงบการลงทุน แล้วเลือกสินค้าที่จะขาย


2. เลือกใช้ช่องทางการขาย ให้เหมาะกับกลุ่มเป้าหมายของสินค้า


3. เลือกทำการตลาดบน social medial ผ่านทาง Line YouTube Facebook Instagram TikTok ทางใดทางหนึ่งหรือทั้งหมด


4. วางแผนบริหารจัดการเรื่องเวลาก่อนเริ่มขายจริง เพราะการขายออนไลน์เป็นการซื้อ-ขายได้ตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งผู้ค้าออนไลน์สามารถนำโปรแกรมสื่อสารข้อความอัตโนมัติที่ชื่อ


แชทบอท เป็นตัวช่วยในการขายการแจ้งราคาและรายละเอียดสินค้าในเบื้องต้น เพื่อสามารถตอบกลับลูกค้าได้อย่างรวดเร็วตลอด 24 ชั่วโมง โดยผู้ค้าไม่ต้องคอยเฝ้าตอบแชทกับลูกค้า


5. เลือกและเตรียมช่องทางการชำระเงินที่หลากหลาย เพื่อให้ลูกค้าได้รับความสะดวก อาทิ มีบริการเก็บเงินปลายทาง,โอนเงินจ่ายทาง e-Banking,จ่ายผ่านบัตรเครดิต/เดบิต หรือจ่ายผ่านบัญชีออนไลน์อื่นๆ และผู้ค้าควรระบุค่าธรรมเนียมในการจัดส่งให้กับลูกค้าให้ทราบด้วย


6. ศึกษาทำความเข้าใจในการเสียภาษีเงินได้จากการขายของออนไลน์


7 .เลือกช่องทางจัดส่งสินค้าที่รวดเร็วราคาไม่แพง เพื่อสร้างความประทับใจให้กับลูกค้า และลดต้นทุนของผู้ค้า


ปรึกษางานบัญชีภาษี

โทรศัพท์ :  097 236 2994

Add Line :  p2pacc


บริการที่ปรึกษาบัญชี


ค่าธรรมเนียมในการขายของออนไลน์กับ shopee Lazada Tiktok

1. Tiktok 4% (ไม่รวมVat7%)


2. Shopee ปรับค่าธรรมเนียมตั้งแต่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2566 สินค้ากลุ่มแฟชั่น 5.35 % (รวม vat) สินค้ากลุ่มอิเลคทรอนิกส์ อุปโภคบริโภค และเครื่องประดับ 4.28 % (รวม vat)


3. Lazada ปรับค่าธรรมเนียมตั้งแต่ 1 ต.ค. 2566 สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ 5%  สินค้ากลุ่มอุปโภคบริโภค สินค้าทั่วไป และสินค้าแฟชั่น 7%


ประเภทของการเสียยื่นภาษี ของผู้ขายของบนออนไลน์

ผู้ค้าออนไลน์ถือเป็นผู้มีรายได้ จึงมีหน้าที่ต้องเสียภาษีเงินได้ตามกฎหมายกำหนด โดยแบ่งตามประเภทของผู้ค้าออนไลน์ ดังนี้


1. ผู้ค้าออนไลน์ประเภทบุคคลธรรมดากรณีที่ผู้ค้าออนไลน์มีรายได้จากการขายของเป็นจำนวนเงิน  60,000 บาทขึ้นไปต่อปี จะต้องยื่นเสียภาษีเงินได้แบบบุคคลธรรมดา แต่ถ้ามีรายได้ไม่ถึงเกณฑ์ก็อาจไม่ต้องเสียภาษี


2. ผู้ค้าออนไลน์ประเภทนิติบุคคลกิจการที่จดทะเบียนเป็นนิติบุคคล ที่มีรายได้จากการขายของออนไลน์ จะต้องยื่นเสียภาษีแบบหักจากค่าใช้จ่ายตามจริงเท่านั้น ซึ่งเจ้าของกิจการจะต้องเก็บหลักฐานค่าใช้จ่าย และต้องทำบัญชีรายรับรายจ่าย เพื่อใช้เป็นหลักฐานในการตรวจสอบการเสียภาษี


ทำไมสรรพากรถึงรู้ถึงรายได้ผู้ค้าออนไลน์ shopee Lazada Tiktok

สรรพากรมีช่องทางที่ใช้ตรวจสอบรายได้ของผู้ค้าออนไลน์หลายวิธีดังนี้


1. มีการโอนเงินเข้าบัญชีธนาคารหลายครั้ง และยอดโอนเป็นเงินจำนวนมาก หากผู้ขายมีเงินเดินบัญชีทั้งเงินฝากและเงินโอน และทำธุรกรรมผ่านสมาร์ทโฟน หรือผ่านทางบัตรเครดิต


หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการทำธุรกรรมดังกล่าว ก็มีหน้าที่จะต้องส่งข้อมูลให้กับสรรพากร จึงทำให้สรรพากรรู้ข้อมูลของผู้มีรายได้  โดยมีเงื่อนไขกำหนดไว้ดังนี้


1.1 มีธุรกรรมโอนเงินเข้าบัญชีจำนวน 3,000 ครั้งต่อปี โดยไม่กำหนดว่าจำนวนเงินที่โอนเข้าแต่ละครั้งเป็นจำนวนเท่าไหร่


1.2 มีธุรกรรมโอนเงินเข้าบัญชี 400 ครั้งต่อปี โดยมีจำนวนเงินที่โอนเข้าบัญชีรวมแล้วเกิน 2 ล้านบาท


2. รู้ได้จากข้อมูลการรับเงิน อาทิ ใบกำกับภาษี ภาษีหัก ณ ที่จ่าย แม้ว่าจะมีรายได้แบบรับเป็นเงินสดแต่สรรพากรก็ยังรู้ว่ามีรายได้จากการที่ผู้ประกอบการที่มีฐานะเป็นนิติบุคคล


ได้นำส่งเงินภาษีที่ถูกหักให้แก่กรมสรรพากร พร้อมแจ้งชื่อ หมายเลขบัตรประชาชนของผู้รับเงิน ลงในแบบนำส่งภาษีที่หักไว้ ดังนั้นต่อให้รับรายได้เป็นเงินสด สรรพากรก็ยังรู้ถึงรายได้ ได้อยู่ดี


3. ตรวจสอบหรือหาข้อมูลรายได้จาก Web Scraping ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่กรมสรรพากรใช้ในการดึงข้อมูล ราคาและจำนวนของสินค้าจากเว็บ e-commerce ต่าง ๆ ทั้ง shopee Lazada Tiktok ทำให้ผู้ค้าออนไลน์ไม่รอดจากการต้องเสียภาษี


การขายของผ่าน e-commerce อย่าง shopee Lazada Tiktok ผู้ค้าออนไลน์จะถูกหักค่าธรรมเนียมตามเงื่อนไขที่กำหนดและทาง shopee Lazada Tiktok ก็จะนำส่งใบกำกับภาษีให้กับผู้ค้าออนไลน์ เพื่อเป็นหลักฐานส่งให้สรรพากรด้วย


4. นำเทคโนโลยีของระบบ Big Data & Data Analytics มาใช้ในการค้นหาข้อมูล ระบบนี้ จะทำหน้าที่คัดกรองข้อมูลของกลุ่มผู้มีรายได้ ที่มีความเป็นไปได้ในการหลีกเลี่ยงภาษี ดังที่เคยเป็นข่าวว่ามีผู้ค้าออนไลน์ถูกสรรพากรเรียกเก็บภาษีย้อนหลัง


กรณีนี้ก็เป็นผลจากการใช้ระบบดังกล่าวช่วยคัดกรอง อีกทั้งระบบ Big Data & Data Analytic ยังเชื่อมต่อข้อมูลของการใช้ไฟฟ้า น้ำประปาซึ่งข้อมูลจะแสดงให้เห็นว่าอัตราการใช้ไฟฟ้า


น้ำประปาของผู้ประกอบการนั้นใกล้เคียงกับผู้ประอบการรายอื่นที่ทำธุรกิจเหมือนกัน แต่ผู้ประกอบการรายอื่นแจ้งตัวเลขของรายได้ที่สูงกว่า ประเด็นนี้สรรพากรอาจเพ่งเล็งว่ามีการแจ้งรายได้ต่ำกว่าความเป็นจริง เพื่อจะได้เสียภาษีน้อยลง


5. ข้อมูลจากเข้าร่วมโครงการของรัฐ หากผู้ค้าออนไลน์เข้าร่วมโครงการของรัฐทีตั้งขึ้นเพื่อช่วยเหลือผู้มีอาชีพค้าขายและบริการ อาทิ โครงการคนละครึ่ง โครงการเราชนะ โครงการชิมช้อปใช้


ทุกรายได้ที่ผ่านโครงการของรัฐ ก็จะถูกส่งให้กับกรมสรรพากร จึงเป็นเรื่องง่ายมากที่สรรพากรจะรับรู้ถึงรายได้ของผู้ค้าที่ขายผ่านโครงการของรัฐ


6. ใช้วิธีการสุ่มตรวจผู้มีรายได้ สรรพากร จะใช้วิธีสุ่มตรวจผู้มีรายได้จากเว็บไซด์ต่างๆ ในสังคมออนไลน์ เช่น การโพสต์แสดงว่าได้รับเงินโอน หรือสุ่มตรวจผู้ที่มีการไลฟ์สดขายของและมีรายได้ ว่าได้ยื่นเสียภาษีตามกฎหมายแล้วหรือยัง  และถ้าพบว่ายังไม่ยื่นเสียภาษี ก็จะถูกสรรพากรเรียกพบ

 

ปรึกษางานบัญชีภาษี

โทรศัพท์ :  097 236 2994

Add Line :  p2pacc


บริการรับทำบัญชียื่นภาษี


ผู้ค้าออนไลน์ต้องยื่นเสียภาษีเงินได้จากการขายของออนไลน์ ในช่วงเวลาใดบ้าง


ผู้ค้าออนไลน์ที่เป็นบุคคลธรรมดา

1. ยื่นเสียภาษีเงินได้ครึ่งปี (ภ.ง.ด.94) การเสียภาษีครึ่งปี ต้องยื่นเสียภาษีในระหว่างเดือนกรกฎาคม – กันยายนของทุกปี


2. ยื่นเสียภาษีเงินได้สิ้นปี (ภ.ง.ด. 90) ภาษีสิ้นปี ต้องยื่นเสียภาษีเงินได้ในช่วงเดือนมกราคม– มีนาคมของทุกปี โดยต้องทำการสรุปรายได้ที่เกิดขึ้นในตลอดปีที่ผ่านมา แล้วยื่นเสียภาษี ภายในเดือนมีนาคม ของปีถัดไป


ผู้ค้าออนไลน์ที่เป็นนิติบุคคล

1. ยื่นภาษีเงินได้ครึ่งปี (ภ.ง.ด 51) ภาษีครึ่งปีจะต้องยื่นเสียภาษีในช่วงเดือนกรกฎาคม–สิงหาคมของทุกปี


2. ยื่นภาษีเงินได้สิ้นปี (ภ.ง.ด. 50) ภาษีเงินได้สิ้นปีจะต้องยื่นภาษีในช่วงเดือนพฤษภาคมของทุกปี โดยสรุปรายได้ทั้งหมดที่เกิดขึ้นตลอดปี

 

การคำนวณภาษีเงินได้ ผู้ค้าออนไลน์ แบ่งตามประเภทผู้ค้า ออกเป็น 2 ประเภท

1. การคำนวณภาษีเงินได้ผู้ค้าบนออนไลน์ ประเภท ”บุคคลธรรมดา” คำนวณ โดยนำค่าใช้จ่ายมาใช้ในการคำนวณได้ 2 แบบ คือ


-คำนวณแบบหักค่าใช้จ่ายตามจริงเหมาะสำหรับผู้ค้าออนไลน์ที่มีต้นทุนสินค้าสูง โดยต้องรวบรวมหลักฐาน และทำบัญชีรายรับรายจ่ายให้ครบถ้วน เพื่อนำไปตรวจสอบค่าใช้จ่ายที่หักออกตามจริง


-คำนวณแบบหักค่าใช้จ่ายเหมา 60% ของรายได้ เหมาะกับ ผู้ค้าออนไลน์ที่มีผลกำไรสูง หรือทำธุรกิจแบบซื้อมา ขายไป ไม่ต้องผลิตสินค้า การคำนวณแบบนี้ มีข้อดีคือ ไม่จำเป็นต้องแสดงหลักฐานค่าใช้จ่ายใดๆ และยังได้รับประโยชน์ทางภาษีจากส่วนต่างของต้นทุนที่แท้จริงกับค่าใช้จ่ายที่คำนวณแบบเหมาจ่ายอีกด้วย


2. การคำนวณภาษีเงินได้ผู้ค้าออนไลน์ประเภท “นิติบุคคล” ใช้วิธีคำนวณแบบใช้ข้อมูลตามค่าใช้จ่ายตามจริง  โดยต้องจัดเก็บหลักฐานเอกสารค่าใช้จ่าย และต้องทำบัญชีรายรับ-รายจ่าย เพื่อใช้ตรวจสอบ  


และถ้ากิจการเป็น SME มีทุนจดทะเบียนไม่เกิน 5 ล้านบาท และมีรายได้ต่อปีไม่เกิน 30 ล้านบาท ต้องเสียภาษีเงินได้แบบขั้นบันได โดยเริ่มตั้งแต่การมีรายได้จากการขอยของบนออนไลน์ ตั้งแต่ 300,000 ขึ้นไปต่อปี

 

การจัดการของผู้ค้าออนไลน์ ขณะดำเนินธุรกิจ ก่อนถึงเวลายื่นเสียภาษีขายของออนไลน์

1. บันทึกรายละเอียดการซื้อขาย และทำบัญชีรายรับรายจ่ายในแต่ละวัน เพื่อการจัดการทางการเงินและการตรวจสอบได้อย่างสะดวก


2. จัดเก็บหลักฐานเอกสารที่เกี่ยวกับการขาย ธุรกรรมการเงิน เพื่อเป็นหลักฐานการดำเนินธุรกรรม


3. ติดตามข่าวสารที่เกี่ยวข้องกับภาษีการขายออนไลน์เป็นประจำ เพราะอาจมีการเปลี่ยนแปลงในรายละเอียดของการเสียภาษี ทั้งนี้เพื่อการจัดการภาษีได้อย่างถูกต้อง


ปรึกษางานบัญชีภาษี

โทรศัพท์ :  097 236 2994

Add Line :  p2pacc


ตรวจสอบบัญชี โดยผู้สอบบัญชีรับอนุญาต CPA


ผู้ค้าออนไลน์ยื่นภาษีได้ในช่องทางไหนบ้าง

1. ยื่นชำระภาษีที่กรมสรรพากร กรอกแบบฟอร์ม ภ.ง.ด. แล้วไปยื่นเสียภาษีได้ด้วยตนเองที่สำนักงานกรมสรรพากรทุกพื้นที่ ในวันและเวลาราชการ


2. ยื่นชำระภาษีทางออนไลน์ผ่านทางเว็บไซด์ของกรมสรรพากร ชำระภาษีผ่านทางระบบออนไลน์ได้ตลอด 24 ช.ม.ไม่เว้นวันหยุดราชการ วิธีนี้สะดวกรวดเร็ว และยังมีการขยายเวลายื่นเสียภาษีเงินได้นานกว่าการไปชำระด้วยตนเองทีสรรพากร


สรุป

เห็นได้ว่าภาษีขายออนไลน์  shopee, Lazada, Tiktok เป็นเรื่องสำคัญที่ผู้ค้าออนไลน์ต้องทำความเข้าใจ  และดำเนินการเสียภาษีเงินได้ตามหน้าที่ที่กฎหมายกำหนด เพื่อปิดประตูปัญหาเรื่องภาษีที่จะเกิดขึ้น ไม่ต้องกังวลสรรพากรมาเยือน



บทความที่น่าสนใจ